10 เทรนด์การทำงานที่จะเปลี่ยนโลกธุรกิจในปี 2025
เจาะลึก 10 เทรนด์การทำงานสำคัญจากรายงานของ DEEL ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจในปี 2025 พบการเปลี่ยนแปลงสำคัญทั้งรูปแบบการทำงาน การใช้ AI ส่วนตัว และนโยบายองค์กรที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
1. Remote Husband - การเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในการทำงาน
ปรากฏการณ์ใหม่ที่สามีซึ่งทำงานด้านเทคโนโลยีหรือวิศวกรรมสามารถทำงานจากที่บ้าน เปิดโอกาสให้ภรรยาสามารถไล่ตามความก้าวหน้าในอาชีพได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านสถานที่
2. Hushed Hybrid - การทำงานแบบไฮบริดแบบไม่เป็นทางการ
แม้จะมีนโยบายให้กลับไปทำงานที่ออฟฟิศ แต่ผู้จัดการหลายคนเลือกที่จะอนุญาตให้ทีมทำงานจากที่บ้านอย่างไม่เป็นทางการ สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการบริหารทีม
3. Coffee Badging - พฤติกรรมการแวะเข้าออฟฟิศ
พฤติกรรมที่พนักงานเข้าออฟฟิศเพียงช่วงสั้นๆ เพื่อแสดงตัวและดื่มกาแฟ ก่อนจะไปทำงานที่อื่น สะท้อนความท้าทายในการดึงดูดพนักงานกลับสู่สำนักงาน
4. Alonement - พื้นที่ส่วนตัวในที่ทำงาน
การจัดพื้นที่ส่วนตัวในออฟฟิศสำหรับการทำงานที่ต้องการสมาธิ เพื่อรองรับพนักงานที่คุ้นเคยกับการทำงานที่บ้านและต้องการพื้นที่เงียบสงบ
5. Task Waiting - การจัดการงานตามจังหวะที่เหมาะสม
กลยุทธ์การทำงานที่เน้นการจัดลำดับความสำคัญและรอจังหวะที่เหมาะสมในการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเครียด
6. New-Collar Worker - แรงงานยุคใหม่ที่เน้นทักษะ
การให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่าวุฒิการศึกษา เปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถได้เข้าถึงตำแหน่งงานระดับสูงโดยไม่จำเป็นต้องมีปริญญา
7. Naked Quitting - การลาออกแบบไม่มีแผนสำรอง
ปรากฏการณ์ที่พบมากในประเทศจีน โดยพนักงานเลือกที่จะลาออกโดยไม่มีงานใหม่รองรับ สะท้อนการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากกว่าความมั่นคงในงาน
8. Progressive Time-off Policies - นโยบายการลาแบบก้าวหน้า
การปรับนโยบายการลาให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น การลาเพื่อรักษาใจหลังความสัมพันธ์ล้มเหลว การลาประจำเดือน การลาเลี้ยงสัตว์เลี้ยง และการลาเพื่อออกเดท
9. Bring Your Own AI - การใช้ AI ส่วนตัวในการทำงาน
แนวโน้มการใช้เครื่องมือ AI ส่วนตัวในการทำงาน โดยเฉพาะในฮ่องกงที่มีพนักงานถึง 78% ใช้ AI ในการทำงาน ตามรายงาน World Trade Index 2024
10. Call-in-sick Generation - เจนเนอเรชันที่ใส่ใจสุขภาพจิต
การให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเจนเนอเรชัน Z ที่มีแนวโน้มลาป่วยเพื่อดูแลสุขภาพจิตมากกว่าเจนเนอเรชันก่อนหน้า
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ