10 เทรนด์การทำงานที่จะเปลี่ยนโลกธุรกิจในปี 2025

วันที่ : 20/12/2567
เข้าชม : 24 คน
แบ่งปัน

 

เจาะลึก 10 เทรนด์การทำงานสำคัญจากรายงานของ DEEL ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจในปี 2025 พบการเปลี่ยนแปลงสำคัญทั้งรูปแบบการทำงาน การใช้ AI ส่วนตัว และนโยบายองค์กรที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

 

1. Remote Husband - การเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในการทำงาน

ปรากฏการณ์ใหม่ที่สามีซึ่งทำงานด้านเทคโนโลยีหรือวิศวกรรมสามารถทำงานจากที่บ้าน เปิดโอกาสให้ภรรยาสามารถไล่ตามความก้าวหน้าในอาชีพได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านสถานที่

 

2. Hushed Hybrid - การทำงานแบบไฮบริดแบบไม่เป็นทางการ

แม้จะมีนโยบายให้กลับไปทำงานที่ออฟฟิศ แต่ผู้จัดการหลายคนเลือกที่จะอนุญาตให้ทีมทำงานจากที่บ้านอย่างไม่เป็นทางการ สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการบริหารทีม

 

3. Coffee Badging - พฤติกรรมการแวะเข้าออฟฟิศ

พฤติกรรมที่พนักงานเข้าออฟฟิศเพียงช่วงสั้นๆ เพื่อแสดงตัวและดื่มกาแฟ ก่อนจะไปทำงานที่อื่น สะท้อนความท้าทายในการดึงดูดพนักงานกลับสู่สำนักงาน

 

4. Alonement - พื้นที่ส่วนตัวในที่ทำงาน

การจัดพื้นที่ส่วนตัวในออฟฟิศสำหรับการทำงานที่ต้องการสมาธิ เพื่อรองรับพนักงานที่คุ้นเคยกับการทำงานที่บ้านและต้องการพื้นที่เงียบสงบ

 

5. Task Waiting - การจัดการงานตามจังหวะที่เหมาะสม

กลยุทธ์การทำงานที่เน้นการจัดลำดับความสำคัญและรอจังหวะที่เหมาะสมในการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเครียด

 

6. New-Collar Worker - แรงงานยุคใหม่ที่เน้นทักษะ

การให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่าวุฒิการศึกษา เปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถได้เข้าถึงตำแหน่งงานระดับสูงโดยไม่จำเป็นต้องมีปริญญา

 

7. Naked Quitting - การลาออกแบบไม่มีแผนสำรอง

ปรากฏการณ์ที่พบมากในประเทศจีน โดยพนักงานเลือกที่จะลาออกโดยไม่มีงานใหม่รองรับ สะท้อนการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากกว่าความมั่นคงในงาน

 

8. Progressive Time-off Policies - นโยบายการลาแบบก้าวหน้า

การปรับนโยบายการลาให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น การลาเพื่อรักษาใจหลังความสัมพันธ์ล้มเหลว การลาประจำเดือน การลาเลี้ยงสัตว์เลี้ยง และการลาเพื่อออกเดท

 

9. Bring Your Own AI - การใช้ AI ส่วนตัวในการทำงาน

แนวโน้มการใช้เครื่องมือ AI ส่วนตัวในการทำงาน โดยเฉพาะในฮ่องกงที่มีพนักงานถึง 78% ใช้ AI ในการทำงาน ตามรายงาน World Trade Index 2024

 

10. Call-in-sick Generation - เจนเนอเรชันที่ใส่ใจสุขภาพจิต

การให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเจนเนอเรชัน Z ที่มีแนวโน้มลาป่วยเพื่อดูแลสุขภาพจิตมากกว่าเจนเนอเรชันก่อนหน้า

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ